วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Google Translate

สาเหตุที่เลือก application 
Google Translate ซึ่งเป็นบริการแปลภาษาด้วยเครื่อง (machine translation—MT) โดยกูเกิลซึ่งแต่เดิมนั้นไม่รองรับภาษาไทยนั้น ปัจจุบันสามารถรองรับการแปลทั้งจากภาษาอื่นเป็นภาษาไทยและจากภาษาไทยเป็น ภาษาอื่น เท่าที่ได้ทดสอบเบื้องต้นพบว่าสามารถแปลได้ทั้งข้อความและเว็บไซต์ ทั้งอังกฤษ-ไทยและ ไทย-อังกฤษ โดยมีคุณภาพการแปลในระดับเทียบเท่ากับการแปลด้วยเครื่องโดยทั่วไป
ขั้นตอนการเข้าใช้งาน google translate
ในการทำงานของ Google Translate นั้น เมื่อเราสร้างคำที่ต้องการจะแปลลงไป โปรแกรมจะทำการค้นหาข้อมูลในเอกสารนับร้อยล้านฉบับ เพื่อเลือกคำแปลที่ดีที่สุดให้คุณ หลังจากตรวจพบคำแปลที่เหมาะสมแล้วGoogle Translate จึงคาดเดาคำแปลที่เหมาะสมออกมา โดย กระบวนการค้นหารูปแบบในข้อความจำนวนมากนี้เรียกว่า "การแปลด้วยคอมพิวเตอร์โดยอาศัยสถิติ"
ตัวอย่างการแปลคำ
ต้องการแปลคำว่า เภสัชศาสตร์จากภาษาไทย เป็นภาษาอิตาลี ก็พิมพ์ที่ต้องการแปลลงในกรอบ(ลูกศรชมพู)ก็จะได้เป็นคำว่า “Farmacia ” (ลูกศรสีเขียว) ซึ่งนอกจากจะแปลคำศัพท์ได้แล้ว ยังสามารถ ฟังการออกเสียงได้อีกด้วย

ข้อดี-ข้อเสีย ของ Google Translate


ข้อเสีย
เนื่องจากคำแปลที่ได้มานั้นสร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ จึงอาจไม่สมบูรณ์แบบเสมอไป ยิ่งมีเอกสารในภาษาหนึ่งๆ ที่แปลโดยมนุษย์มาให้ Google แปลเอกสารวิเคราะห์มากเท่าใด คุณภาพของการแปลก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าบางครั้งทำไมความถูกต้องของการแปลจึงแตกต่างกันไปในแต่ละภาษา รวมทั้งความสละสลวยในการเรียบเรียงถ้อยคำก็ยังต้องอาศัยการตรวจทานจากมนุษย์ช่วยด้วย
ข้อดี
1. ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะเดิมการที่จะหาโปรแกรมในการแปลภาษา ไทย-อังกฤษ (สำหรับการแปลเป็นประโยค) นั้น ส่วนมากจะเป็น Software ที่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งการมาของ Google Translate ทำให้การแปลภาษาเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงกลุ่มคนได้อีกมากมาย
2. สามารถแปลได้ทั้ง Website หรือ ประโยคข้อความใดๆ ก็ได้ หากต้องการแปลทั้ง Website ก็เพียงแค่พิมพ์ URL ของเว็ปไซต์ที่เราต้องการแปลเท่านั้นเอง ส่วนการแปลประโยคหรือข้อความก็สามารถใช้คำสั่ง Copy + Paste แค่นั้น

 

ข้อแตกต่างระหว่าง Google Translate และ Longdo Dictionary

longdo นอกจากจะแปล อังกฤษ-ไทย แลัวยังแปล ไทย-อังกฤษได้ด้วย อีกทั้ง ยังมีพัฒนาเพิ่มเสียงอ่านคำศัพท์ให้เราอีกด้วย ครบเครื่อง
google translate เป็นอีกหนึ่งบริการเสริมของ google ที่มีประโยชน์สำหรับการใช้งานในด้านการแปลภาษาซึ่งปัจจุบันสามารถใช้งานในการแปลภาษาได้มากกว่า 50 ภาษา โดยที่ผู้เข้าใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆในการรับบริการ โดยสามารถแปลได้ทั้งคำศัพท์เป็นคำๆ แปลประโยค หรือแม้กระทั่งหน้าเว็บระหว่างภาษาใด ๆ ก็ได้ที่มีให้ในบริการ

เครื่องมือต่างๆใน Google Translate

1. เครื่องมือแปลภาษาเป็นปุ่มกดที่จะลิงก์จากหน้าเว็ป www.google.co.th ไปยัง http://translate.google.co.th/?hl=th&tab=wT#en|th|




2.เมื่อเข้ามาในเว็ปเราจะพบปุ่มเครื่องมือต่างๆมากมาย
เริ่มจากเครื่องมือแรก เป็นปุ่มที่ให้เราเลือกว่าจะแปลภาษาจากภาษาอะไรเป็นภาษาอะไร
ดังที่แสดงในภาพ เป็นการแปลภาษาจากภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทย ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนให้แปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษได้
โดยกดปุ่ม จะพบว่าภาษาที่เราเลือกไว้จะสลับกัน 
3.เครื่องมือต่อไปคือ 
เป็นกล่องข้อความ เมื่อเราเลือกภาษาที่จะแปลเสร็จ ด้านล่างก็จะมีกล่องข้อความ เอาไว้ให้เรากรอกข้อความที่ต้องการจะแปลลงไป เช่นจากในภาพ พิมพ์คำว่า I love you โดยเลือกแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
4. ถ้าสังเกต เมื่อเราพิมพ์ข้อความเข้าไปในกล่องข้อความจะพบว่ามีปุ่มเพิ่มขึ้นมาใต้กล่องข้อความนั่นคือปุ่ม เราสามารถกดเพื่อฟังการออกเสียงได้
5. ปุ่มต่อไปคือ  เมื่อเราเลือกภาษาและกรอกข้อความที่จะแปลเสร็จแล้ว ก็กดปุ่มเพื่อเริ่มการแปลได้เลย
6.เมื่อกดแปล จะมีแถบเครื่องมือขึ้นมาข้างขวาของกล่องข้อความว่า
จะพบว่ามีปุ่มเป็นปุ่มที่ใช้ดูการออกเสียงของคำที่แปล
เมื่อเรากดจะพบว่าสีของปุ่มกดจะเข้ม
ขึ้นแล้วก็จะมีคำอ่านออกเสียงขึ้นมาใต้ปุ่มด้วย
7. 
ที่ด้านล่างของเว็ปจะพบปุ่มกดที่ใช้ลิงก์ไปยังที่ต่างๆเพื่อเลือกแปลได้ โดยมีทั้ง การค้นพา, วิดีโอ, อีเมลล์, โทรศัพท์, แชท , ธุรกิจ เมื่อกดเข้าไปจะพบวิธีแปลสิ่งต่างๆตามที่เราได้เลือกไป


วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554


เว็บไซต์ไทยและต่างประเทศที่ได้รับความนิยม

เว็บไซต์ไทย

1.  http://www.majorcineplex.com/

ดูหนัง แหล่งรวม สุดยอดเมืองหนังและศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลก ข่าว หนัง หรือ ภาพยนตร์ ทั้ง หนังใหม่ หนังเกาหลี หนังไทย หนังต่างประเทศ รวมถึง ตัวอย่างหนัง

2. http://www.jamsai.com/

  สั่งซื้อหนังสือออนไลน์  แลกเปลี่ยนหนังสือ ที่คั่นสำหรับคนรักหนังสือ

3. http://www.4shared.com/


พื้นที่เว็บฟรี การลงทะเบียนง่าย อัพโหลดไฟล์  การถ่ายโอนหลายแฟ้ม ดาวน์โหลดรวดเร็ว


4. http://www.thaiware.com/


ศูนย์รวม ซอฟต์แวร์ อันดับ ของไทยแหล่งดาวน์โหลด ซอฟต์แวร์ไทยและเทศ ข่าวสารแวดวงไอที สุดอัพเดทชุมชนแลกเปลี่ยนความรู้ไอทีแหล่งดาวน์โหลด วอลล์เปเปอร์


5. http://www.dailynews.co.th/


หนังสือพิมพ์รายวันฉบับอินเตอร์เน็ต เสนอข่าวทั่วไปในเมืองไทย และวิเคราะห์ข่าวต่างๆ.



เว็บไซต์ต่างประเทศ 

1. http://www.microsoft.com/

ศูนย์ดาวน์โหลดเพื่อพบกับอัพเดทผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากไมโครซอฟท์ในภาษาต่างๆ นับสิบภาษา.


2. http://www.theregister.co.uk/

ข้ามฝั่งไปที่หัวเว็บฝั่งยุโรปบ้าง เพื่อข่าวไอทีในอีกซีกโลกนึงที่รวดเร็วทันใจจาก UK


3. http://gizmodo.com/

ข่าวของออกใหม่ Gadget เด็ดๆ ที่นี่ทำเป็นสกู๊ปติดตามกันยาวๆ จะว่าไปเว็บนี้ก็คล้ายกับ Engadget เลือกติดตามอันได้อันนึงก็ได้ แล้วแต่ชอบสไตล์การเขียนข่าวแบบไหน


4. http://www.cnn.com/TECH/


ชื่อ CNN ไม่ต้องบอกว่าดีแค่ไหน แต่ส่วนข่าว Tech นี้แม้จะไม่ได้เร็วมากเท่าเจ้าอื่นๆ แต่ว่าบทความที่ออกมาข้อมูลแน่น และลึกจริง สมเป็นสำนักข่าวอันดับ ของโลกนี้

5. http://www.cnet.com/


สำนักข่าวไอทีเจ้าเก่าที่คงความน่าเชื่อถือไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย สินค้าใหม่ๆออกมา สามารถดูได้ที่นี่ เพราะรีวิวประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อมาเร็วมากๆ ใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าไฮเทคใช้ไม่ควรพลาดเว็บนี้ โดยเฉพาะวิดีโอ First View

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

        สรุปเนื่้อหาบทเรียน เรื่อง องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

ฮาร์แวร์ (Hareware)

             หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น 

ซอฟต์แวร์ (Software)
                         หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น
                 1. ซอฟต์แวร์สำหรับระบบ (System Software)
                 2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)

บุคคล (People)
             หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
1. ผู้จัดการระบบ (System Manager) 
2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) 
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer) 
4. ผู้ใช้ (User)   

หน่วยประมวลผลกลาง


ไฟล์:Intel 80486DX2 bottom.jpg


                หน่วยประมวลผลกลาง (อังกฤษ: central processing unit) หรือย่อว่า ซีพียู (CPU) เป็นวงจรอิเลคทรอนิกส์ที่ทำงาน หรือประมวลผล ตามชุดของคำสั่งเครื่องจากซอฟต์แวร์
                หน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา เช่น การเปรียบเทียบ การกระทำการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ 
โดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ
    • อ่านชุดคำสั่ง (fetch)
    • ตีความชุดคำสั่ง (decode)
    • ประมวลผลชุดคำสั่ง (execute)
    • อ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ (memory)
    • เขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write back) 

การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง

                 การทำงานของหน่วยประมวลผลกลางแบ่งออกตามหน้าที่ได้เป็นห้ากลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ โดยทำงานทีละคำสั่ง จากคำสั่งที่เรียงลำดับกันไว้ตอนที่เขียนโปรแกรม
    • Fetch - การอ่านชุดคำสั่งขึ้นมา 1 คำสั่งจากโปรแกรม ในรูปของระหัสเลขฐานสอง (Binary Code from on-off of BIT)
    • Decode - การตีความ 1 คำสั่งนั้นด้วยวงจรถอดรหัส (Decoder circuit) ตามจำนวนหลัก (BIT) ว่ารหัสนี้จะให้วงจรอื่นใดทำงานด้วยข้อมูลที่ใด
    • Execute - การทำงานตาม 1 คำสั่งนั้น คือ วงจรใดในไมโครโปรเซสเซอร์ทำงาน เช่น วงจรบวก วงจรลบ วงจรเปรียบเทียบ วงจรย้ายข้อมูล ฯลฯ
    • Memory - การติดต่อกับหน่วยความจำ การใช้ข้อมูที่อยู่ในหน่วยจำชั่วคราว (RAM, Register) มาใช้ในคำสั่งนั้นโดยอ้างที่อยู่ (Address)
    • Write Back - การเขียนข้อมูลกลับ โดยมีหน่วยจำ Register ช่วยเก็บที่อยู่ของคำสั่งต่อไป ภายหลังมีคำสั่งกระโดดบวกลบที่อยู่

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สรุปเนื้อหาบทเรียน เื่รื่่อง ระบบจำนวนและการแทนค่าข้อมูลในคอมพิวเตอร์


ระบบเลขฐานสิบ (Decimal Numbering System)



               ระบบเลขฐานสิบ เป็นระบบเลขที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะนำไปใช้คำนวณประเภทใด โดยจะมีสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัวเลขต่างๆ ของเลขฐานสิบ (Symbol) จำนวน 10 ตัว ตัวเลขหรือที่เรียกว่า Digit ที่ใช้แทนระบบเลขฐานสิบ ได้แก่ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9

เลขฐาน 10
0123456789

               ตัวเลขแต่ละตัวจะมีค่าประจำตัว โดยกำหนดให้ค่าที่น้อยที่สุด คือ 0 (ศูนย์) และเพิ่มค่าทีละหนึ่ง จนครบจำนวน 10 ตัว ดังนั้นค่ามากที่สุด คือ 9 การนำตัวเลขเหล่านี้ มารวมกลุ่มกัน ทำให้เกิดความหมายเป็น "ค่า" นั้น อาศัยวิธีการกำหนด "หลัก" ของตัวเลข (Position Notation) กล่าวคือ ค่าของตัวเลขจำนวนหนึ่ง

ระบบเลขฐาน 2 (Binary Number System

ระบบเลขฐาน 2 (Binary Number System) เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 2 ตัว ได้แก่เลข 0 กับ เลข 1 ซึ่งเป็นเลขฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ง่าย เพราะว่าอุปกรณ์ทางไฟฟ้าก็มีสถานะเพียง 2 สถานะ คือ เปิด กับ ปิด ซึ่งก็เทียบได้กับ 0 กับ 1 แต่ถ้าใช้เลขฐาน 10 ในคอมพิวเตอร์อาจจะเกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา หรือแม้แต่อุปกรณ์ทางไฟฟ้า ก็ต้องแบ่งสถานะออกเป็น 10 สถานะ ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนัก การเก็บข้อมูลในระบบของคอมพิวเตอร์ก็จะจัดเก็บเป็นกลุ่มตัวเลขฐานสองหลายบิต ขึ้นอยู่กับขนาดของสิ่งที่ต้องการเก็บ และหน่วยความจำที่ใช้


         การแปลงเลขฐาน 2 เป็นเลขฐาน 10
การแปลงเลขฐาน 2 เป็นเลขฐาน 10 เลขฐาน 2 แต่ละหลักมีเลขประจำหลักต่างกันไปในการแปลงเป็นเลขฐานอื่น โดยเริ่มจาก
         หลักหน่วย   จะเท่ากับ   20   หรือเท่ากับ    1
    หลักสิบ       จะเท่ากับ   21   หรือเท่ากับ    2
    หลักร้อย     จะเท่ากับ   22   หรือเท่ากับ    4
    หลักพัน      จะเท่ากับ   23   หรือเท่ากับ    8
    หลักหมื่น    จะเท่ากับ   24   หรือเท่ากับ  16
และหลักถัดไปก็จะยกกำลังเพิ่มขึ้น บวกหนึ่งไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนหลักของเลขฐานสอง หรือถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่า ตัวเลขจะมีการเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าทุก ๆ จำนวน เริ่มจาก 1 เป็น 2 2 เป็น 4 4 เป็น 8 8 เป็น 16 16 เป็น 32 32 เป็น 64 ไปเรื่อย ๆ
ยกตัวอย่างเช่น แปลงเลข 10101 ฐาน 2 เป็นเลข ฐาน 10 วิธีทำ
 วิธีที่ 1   จับตัวเลขของแต่ละหลัก คูณกับเลขประจำหลักของแต่ละตัว แล้วนำผลของแต่ละตัวมาบวกกัน
              10101  = [(1 * 24) + (0 * 23) + (1 * 22) + (0 * 21) + (1 * 20)
             = 16 + 0 + 4 + 0 + 1
             = 21
วิธีที่ 2  แทนค่าเลขประจำหลักโดยไม่ต้องคูณ   โดยให้นำเลขประจำหลักของเลขฐาน 2 ที่มีค่าเป็น 1มาบวกกัน
                                                   16   8   4   2  1
              10101 =     1   0   1   0  1
       จากเลขประจำหลักของแต่ละหน่วย   จะได้  16 + 4 + 1  = 21  ซึ่งได้คำตอบเท่ากับ



               การแปลงเลขฐาน 10 เป็นเลขฐาน 2 
     การแปลงเลขฐาน 10 เป็นเลขฐาน 2 ใช้วิธีเช่นเดียวกับวิธีที่ 2 ของการแปลงเลขฐาน 2 เป็นเลขฐาน 10 โดยการให้ตัวเลขที่นำมาบวกกันแล้วได้เลขเท่ากับ เลขฐาน 2 ที่ต้องการแปลงเท่ากับ 1 ถ้าตัวไหนไม่ได้นำมาบวกให้เท่ากับ 0 ตัวอย่างเช่น แปลง 252 ฐาน 10 เป็นเลขฐาน 2 วิธีการ ใช้หลักการของตัวเลขประจำหลัก คือ จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16

      ซึ่งตัวเลขที่นำมาบวกกันแล้วได้ 252  ได้แก่  128 + 64 + 32 + 16 + 8 + 4 ส่วนเลข 2 กับ 1 ไม่ได้นำมาบวกก็ให้เท่ากับ 0
      จะได้ 11111100 ฐาน 2


ระบบเลขฐาน 8 (Octal Number System)


         ระบบเลขฐาน 8 (Octal Number System) เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 8 ตัว ซึ่งประกอบด้วยเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ซึ่งเป็นเลขฐานที่เพิ่มเนื้อที่หน่วยความจำในการเก็บให้มากขึ้น การเก็บข้อมูลเป็นเลขฐาน 8 จะทำให้เก็บข้อมูลได้มากขึ้น

                  การแปลงเลขฐาน 10 ให้เป็นเลขฐาน 8 
                  การแปลงเลขฐาน 10 ให้เป็นเลขฐาน 8 ทำได้โดยเอาเลขฐานสิบตั้ง แล้วหารด้วยเลข 8 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผลลัพธ์เป็น "0" ในการหารนั้นจะต้องเขียนเศษไว้ทุกครั้ง จากนั้นให้เขียนเศษที่ได้จากการหารโดยเรียงลำดับจากด้านล่างขึ้นด้านบน 


                  การแปลงเลขฐาน 8 เป็นเลขฐาน 2

                  การกำหนดรหัสฐานแปด ของเลขฐานสอง กระทำได้โดยการแบ่งกลุ่มๆ ละ 3 บิต ลองพิจารณาเลขฐานสอง 24 บิต ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ เช่น 	101011010100001111000110
                 สามารถแบ่งกลุ่มได้ดังนี้
	                      101    011     010     100     001      111     000     110	
	                        5        3         2         4         1          7          0         6

ระบบเลขฐาน 16 (Hexadecimal Number System)

เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยตัวเลข10ตัวและตัวอักษรแทนตัวเลขอีก 6 ตัวซึ่งประกอบด้วยเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9และตัวอักษรภาษาอังกฤษแทน 10 ถึง 15 ได้แก่ A, B, C, D, E, F ซึ่งก็จะเก็บข้อมูลได้มากกว่าระบบเลขฐาน 2 ฐาน 8
การแปลงเลขฐาน 10 เป็นเลขฐาน 16
  การแปลงเลขฐาน 10 ให้เป็นเลขฐาน 16 ทำได้โดยเอาเลขฐานสิบตั้ง แล้วหารด้วยเลข 16 ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผลลัพธ์เป็น"0" ในการหารนั้นจะต้องเขียนเศษไว้ทุกครั้ง จากนั้นให้เขียนเศษที่ได้จากการหารโดยเรียงลำดับจากด้านล่างขึ้นด้านบน


               การแปลงเลขฐาน 16 เป็นเลขฐาน 2

            การกำหนดรหัสฐานสิบหกของเลขฐานสอง  กระทำได้โดยการแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 4 บิต ตามเลขฐานสิบหก เช่น 11110010
            สามารถแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้                    1111     0010	                                                                            	                        F           2

รหัส BCD – 8421 (Binary Code Decimal) 
                   
                    รหัส BCD - 8421 เป็นรหัสชนิดหนึ่งในระบบเลขฐานสอง ใช้หลักการแทนค่าเลขฐานสิบ 1 หลัก (Digit) ด้วยเลขฐานสอง 4 บิต มีผลดีคือทำให้สามารถใช้สายส่งข้อมูลเพียง 4  เส้น   (สำหรับ 4 บิต)   เพื่อส่งข้อมูลเลขฐานสองมากๆได้ เนื่องจากรหัส  BCD - 8421 สร้างขึ้นมาเลียน   แบบเลขฐาน สิบ ดังนั้นรหัส BCD - 8421 จึงมีจำนวนเท่ากับจำนวนของเลขฐานสิบ     คือ 10 รหัส ดัง
ตาราง

Decimal
BCD - 8421
0
0000
1
0001
2
0010
3
0011
4
0100
5
0101
6
0110
7
0111
8
1000
9
1001
รหัสเกิน 3 (Excess - 3 Code)



                รหัสเกิน 3 คล้ายกับรหัส BCD – 8421 และรหัสเกิน 3 นี้เป็นรหัสชนิดหนึ่งในระบบเลขฐาน สองเช่นกัน ใช้สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic circuit) เนื่องจากรหัสเกิน 3 นี้ มีค่าคอมพลีเมนต์ในตัวเอง (Self - complementing) ลักษณะของรหัสเกิน 3 คือการเพิ่มค่าตัวเลขฐานสิบในหลักใดๆ โดยบวกอีก 3 เช่น เลข 4 ฐานสิบจะมีค่าเท่ากับ (0111)EX-3 นั่นคือนำเลข 4 
มาบวก 3 เป็น 7 และแปลงเลข 7 เป็นเลขฐานสอง จะได้ 0111  ดังตารางที่ 3.5 จะเห็นว่ารหัสเกิน 3 จะมีค่ามากกว่ารหัส BCD – 8421 อยู่ 3


Decimal
BCD – 8421 code
Excess – 3 code
0
0000
0011
1
0001
0100
2
0010
0101
3
0011
0110
4
0100
0111
5
0101
1000
6
0110
1001
7
0111
1010
8
1000
1011
9
1001
1100